รายงานกองทุนราษฎรประสงค์ ประจำปี 2567 ตอนสุดท้าย: จนกว่าเราจะไม่พบกันอีก

ออกแบบกราฟิกโดย อัครวุฒิ

นี่คือตอนสุดท้ายของรายงานประจำปีกองทุนราษฎรประสงค์ในหัวข้อ “สิ้นสุดทางเลื่อน” อันว่าด้วยปลายทางของมหกรรมการดำเนินคดีการเมืองในปัจจุบันสมัยที่กำลังจะกลายเป็นอดีต เช่นกันกับภารกิจของกองทุนราษฎรประสงค์ที่ตั้งต้นจากการช่วยเหลือให้ประชาชนได้เข้าถึงสิทธิการประกันตัวเพื่อต่อสู้คดี ไปสู่ความช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการเดินทางเพื่อให้สามารถเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดีได้ตลอดรอดฝั่ง จนกระทั่งจบลงที่ความช่วยเหลือสำหรับผู้ต้องขังและครอบครัวเมื่อผลการต่อสู้คดีไปลงเอยที่ทัณฑสถาน

ในตอนแรกของรายงานประจำปีในหัวข้อนี้ เราได้แจกแจงไว้ถึง “เงินรอระบาย” ราว 33 ล้านบาท ซึ่งหมายถึงเงินวางประกัน ณ สิ้นปี 2567 ที่อยู่ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ของมันในการวางเป็นหลักประกันของผู้ต้องหาและจำเลย แต่ขณะเดียวกันเราก็ได้สรุปให้เห็นว่า เงินประกันเหล่านี้เมื่อได้คืนกลับมาในอัตราที่เมื่อคิดจากส่วนต่างเงินประกันรับคืน-เงินประกันวางใหม่ทั้งปี 2567 ซึ่งอยู่ที่ 6.31 ล้านบาทนั้น มันได้เปลี่ยนสถานะกลายเป็นเงินที่จะไม่กลับคืนมาอีกต่อไปเมื่อมันถูกจ่ายออกไปเป็นเงินค่าฯเดินทาง, ค่าเสียหาย, เงินช่วยเหลือผู้ต้องขัง และเงินช่วยเหลือครอบครัวผู้ต้องขังในยอดรวมตลอดทั้งปี 2567 คือ 7.4 ล้านบาท และยังมีเงินประกันที่สูญไป คือเงินที่ถูกศาลริบจากการหลบหนีคดีในปี 2567 ในยอดรวมที่เท่ากันพอดีกับเงินช่วยเหลือจำเลยและผู้ต้องขังทั้งปี คือ 7.4 ล้านบาทเช่นกัน

ด้วยอัตราเช่นนี้ แม้เรายังคงมีเงินออมก้นกระปุกสำหรับใช้จ่ายดูแลช่วยเหลือผู้ที่ยังอยู่ระหว่างการต่อสู้คดีและผู้ที่อยู่ระหว่างรอวันพ้นจากเรือนจำต่อไป อันได้แก่เงินจำนวน 33 ล้านบาทที่ฝากอยู่ในระบบยุติธรรมของประเทศนี้ ณ สิ้นปี 2567 ทว่าตลอดทุกวันตลอดทั้งปี 2568 ที่ผ่านมา เงินจำนวนที่ว่านี้ก็กำลังทยอยจ่ายออกไปอย่างไม่กลับคืนมาอีกให้แก่จำเลย ผู้ต้องขัง ครอบครัวผู้ต้องขัง และยังคงมีเงินประกันถูกริบอันเนื่องมาจากการหลบหนีคดีอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ภารกิจของเราในฐานะกองทุนฯ เพื่อสิทธิในการประกันตัวหลังจากนี้ จึงมีแต่อยู่บนฐานของการนับถอยหลัง

รายงานตอนสุดท้ายนี้จึงเป็นการนำข้อมูลการวางประกันและรับคืนเงินประกันจากระยะสามปีแปดเดือน ตั้งแต่มกราคม 2565 ถึงสิงหาคม 2568 มาวิเคราะห์แนวโน้มความเป็นไปของการจ่ายเงินในหมวดนี้ เท่าที่ยังเหลือเป็นภารกิจค้างคา

คดีใหม่ vs คดีพิพากษา/ยุติคดี

จากกราฟ จะเห็นว่า นับแต่ปี 2566 จำเลยในคดีที่มีคำพิพากษาแล้วและคดีที่ยุติแล้ว มีปริมาณแซงหน้าคดีที่เพิ่งมีการฟ้องใหม่อย่างเห็นได้ชัด ขณะเดียวคดีที่ฟ้องใหม่ (ไม่ว่าจะจากเหตุคดีใหม่หรือเหตุเก่าที่นำมาปัดฝุ่นใหม่) ก็มีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ  ถึงขั้นที่ในช่วงปี 2565-2568 จำนวนจำเลยที่ถูกฟ้องคดีใหม่นั้นลดลงจากหลักร้อยเป็นหลักสิบ และในที่สุดก็เหลือแค่หลักหน่วย ทำให้คาดหมายได้ว่าคดีเหล่านี้ที่ถึงชั้นศาลแล้ว จะสิ้นสุดภายใน 1-2 ปีข้างหน้า

วางประกัน vs รับคืนเงินประกัน

ทำนองเดียวกับจำนวนจำเลยในคดีใหม่เทียบกับคดีพิพากษา/ยุติคดี จำนวนเงินประกันที่ได้รับคืนก็แซงหน้าจำนวนเงินวางประกันคดีใหม่ตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นมา อย่างไรก็ดี จะสังเกตได้ว่าเส้นกราฟสีเข้มของการวางประกันนั้นแม้ลดลงแต่ก็ยังไกลจากศูนย์ นั่นเป็นเพราะว่าการวางประกันส่วนใหญ่ในปีหลังๆมานี้ เป็นการวางประกันในชั้นต่อเนื่องของกระบวนการ ไม่ใช่การวางประกันครั้งแรกของคดีใหม่ ดังจะได้จำแนกสัดส่วนตามชั้นการวางประกันในแผนภูมิถัดไป

เทรนด์วางประกันตามชั้น

แผนภูมิสัดส่วนนี้ช่วยเปรียบเทียบให้เห็นแนวโน้มว่า เมื่อสำรวจการวางประกันทั้งหมดในแต่ละปี มีสัดส่วนการวางประกันแต่ละชั้นร้อยละเท่าไหร่ ความหนาของแต่ละชั้นสีที่เปลี่ยนแปลงไปจากปีหนึ่งไปยังอีกปีหนึ่ง แสดงให้เห็นถึงการเคลื่อนไปสู่จุดสิ้นสุดของสายพาน เช่นสัดส่วนของชั้นสอบสวน (ตำรวจ) ที่ลดลงจาก 21.6% ในปี 2565 เหลือต่ำกว่า 10% ในปี 2567 และ 2568 หรือสัดส่วนของชั้นฎีกาที่เพิ่มขึ้นจาก 0.6% ในปี 2565 มาเป็น 20.3% ในปี 2568

ท่านอาจสังเกตว่าสัดส่วนของการวางประกันชั้นพิจารณาคดี (นั่นก็คือศาลชั้นต้น) ไม่ได้ลดลงชัดเจน แต่เด้งไปมาระหว่าง 40 กว่าถึง 60 กว่าเปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ดี ถ้าระบุตัวเลขออกมาเป็นจำนวนราย ก็จะเห็นแนวโน้มของการลดลงได้ชัดขึ้น กล่าวคือในปี 2565 มีการวางประกันชั้นพิจารณาคดี 330 ราย, ปี 2566 เหลือ 97 ราย, ปี 2567 เหลือ 74 ราย และในปี 2568 เหลือเพียง 33 ราย (นับถึงเดือนสิงหาคม – คาดการณ์ทั้งปีได้ 49 ราย)

เทรนด์รับคืนเงินประกันตามสาเหตุ

อีกเบาะแสหนึ่งของการทยอยสิ้นสุดของคดีความนั้น ดูได้จากสถิติฝั่งรับคืนเงินประกัน ซึ่งในที่นี้จำแนกเหตุแห่งการรับคืนเป็น 6 สาเหตุ ตามลำดับเส้นทางของกระบวนการยุติธรรม แจกแจงกรณีย่อยของแต่ละสาเหตุได้ดังนี้

  • รับคืนหลังครบกำหนดชั้นพนักงานสอบสวน หมายถึงกรณีที่พนักงานสอบสวนไม่สรุปสำนวนส่งอัยการภายในกำหนด 6 เดือน และกรณีที่มีการวางประกันใหม่ในชั้นอัยการ จึงรับเงินประกันชั้นสอบสวนคืน
  • รับคืนหลังครบกำหนดชั้นอัยการ หมายถึงกรณีที่อัยการไม่ยื่นฟ้องภายในกำหนด และกรณีที่ยื่นฟ้องแล้วมีการวางประกันใหม่ในชั้นพิจารณาคดี
  • รับคืนเพราะมีการถอนประกัน หมายถึงกรณีที่ศาลถอนประกันจำเลยเนื่องจากศาลเห็นว่าจำเลยทำผิดเงื่อนไขประกันตัว, กรณีที่จำเลยขอถอนประกันเองเนื่องจากกำลังต้องขังหรือรับโทษในคดีอื่นอยู่ หรือเพื่อเป็นการประท้วงต่อศาล
  • รับคืนเพราะมีการเปลี่ยนหลักทรัพย์/นายประกัน หมายถึงกรณีที่มีการขอเปลี่ยนหลักทรัพย์และเปลี่ยนตัวผู้ประกันก่อนคดีมีคำพิพากษา
  • รับคืนหลังมีคำพิพากษา/ยุติคดี หมายถึงกรณีที่มีการรับคืนเงินประกันหลังศาลมีคำพิพากษาแล้วมีการวางประกันใหม่ด้วยหลักทรัพย์ใหม่หรือผู้ประกันคนใหม่ในชั้นต่อไป และกรณีที่เป็นการรับคืนหลังมีคำพิพากษาเป็นที่สิ้นสุด หรือกรณีที่ศาลเยาวชนใช้มาตรการแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเยาวชนแทนการพิพากษา

เมื่อดูตัวเลขของการรับคืนเงินประกัน จะเห็นแนวโน้มว่า เงินรับคืนหลังพิพากษา/ยุติการดำเนินคดี มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด กล่าวคือ จากตัวเลขการรับคืนในปี 2565 ในสัดส่วน 28.5% (71 ราย) พอถึงปี 2566 และ 2567 ก็กระโดดขึ้นมาเป็น 85.1% (400 ราย) และ 81.0% (230 ราย) ตามลำดับ จนกระทั่งล่าสุดในปี 2568 ก็ขึ้นมาสูงถึง 93.6% (162 ราย)

สุดสายพาน

เพื่อเป็นการสรุปอีกครั้งถึงเส้นทางระบายเงินของผู้บริจาคในอนาคต เราได้ทำแผนภาพสุดท้ายที่แสดงให้เห็นโดยครบวงจร  เริ่มจากด้านบนของภาพคือราษฎรได้ส่งเงินของตนเข้าไปเป็นประกันไว้กับศาลเพื่อแลกกับอิสรภาพในการต่อสู้คดีของราษฎรด้วยกัน  ครั้นเมื่อสายพานของกระบวนการยุติธรรมดำเนินไป ก็มาถึงทางแพร่งที่นายประกันไม่อาจกำหนดควบคุมได้ ราษฎรบางคนได้หลุดพ้น แต่หลายคนไม่ และกลายเป็นต้องเข้าเรือนจำ ขณะที่อีกบางคนก็แปรอิสรภาพจากเงินนั้นเป็นจานบินออกไปจากสายพาน สิ่งที่คงเหลืออยู่หลังจากนี้ คือเงินบริจาคเท่าที่จะยังได้รับคืนจากกระปุกออมศาล ซึ่งจะถูกใช้เพื่อดูแลจำเลย ผู้ต้องขัง และครอบครัวของพวกเขาเป็นสำคัญต่อไป จนกว่าจะถึงวันที่พวกเขาพ้นจากพันธะแห่งคดี พร้อมกับที่กองทุนฯ ก็จะพ้นพันธกิจและพ้นพันธะต่อพวกเขาไปด้วยกัน จุดตั้งต้นจากสิทธิประกันตัวเพื่อการต่อสู้คดี บัดนี้ใกล้ถึงจุดลงเอยของความหมายของมันในทุกความหมาย

และเมื่อสายพานสิ้นสุด เราจึงมีความหวังไว้ — ว่าเราจะไม่พบกันอีก

อ่านตอนที่แล้ว

หรือกลับไปอ่านตอนแรกของรายงานประจำปี 2565