รายงานกองทุนราษฎรประสงค์ประจำปี 2567 ตอนที่ 2: จนกว่าจะไม่ต้องขัง

ออกแบบกราฟิกโดย อัครวุฒิ

ในรายงานตอนที่แล้ว เราได้เปิดประเด็นว่าด้วย “เงินรอระบาย” จำนวน 33 ล้านบาทของกองทุนฯ ที่จะได้ทยอยจัดสรรเพื่อเป็นความช่วยเหลือแก่จำเลย ผู้ต้องขัง และครอบครัวผู้ต้องขังต่อไป…จนกว่าจะไม่ต้องขัง  รายงานตอนนี้จะพาทุกท่านลงรายละเอียดในส่วนของผู้ต้องขัง ทั้งในปัจจุบัน, ในอดีตยุคหลังรัฐประหาร 2557, และในวันเวลาต่อไปข้างหน้า ว่าตำแหน่งแห่งหนของพวกเขาอยู่ตรงไหนในกรอบความช่วยเหลือนี้

“ให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนในการเข้าถึงการปรับพฤตินิสัย ฟื้นฟูแก้ไขผู้กระทำความผิด และให้ความช่วยเหลือผู้พ้นโทษและครอบครัวในการฟื้นฟูคุณภาพชีวิต” คือวัตถุประสงค์ข้อที่ 6 ของมูลนิธิสิทธิอิสรา ที่ได้มีการยื่นต่อนายทะเบียนมูลนิธิในปี 2567 เพื่อขยายขอบเขตการให้ความช่วยเหลืออย่างเป็นกิจจะลักษณะ หลังจากที่วัตถุประสงค์แต่เดิมของมูลนิธิเมื่อแรกตั้งซึ่งมุ่งเน้นไปที่การช่วยเหลือผู้ต้องหา/จำเลยในคดีการเมืองให้สามารถเข้าถึงสิทธิในการต่อสู้คดี หรืออีกนัยหนึ่งคือสิทธิในการประกันตัวนั้น ไม่เพียงพออีกต่อไปในสถานการณ์ปัจจุบันที่ผลการต่อสู้คดีจำนวนมากมาลงเอยที่เรือนจำ  

นับแต่วัตถุประสงค์ข้อใหม่นี้ได้รับการอนุมัติจากนายทะเบียนมูลนิธิ กระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2567 (สาธุ!) เราจึงสามารถขยายความช่วยเหลือไปยังคนกลุ่มใหม่ถึงสามกลุ่มด้วยกัน อันได้แก่ ครอบครัวผู้ต้องขัง ผู้ต้องขังในอดีต และผู้ต้องขังในปัจจุบันที่กำลังรับโทษตามคำพิพากษา เราจะขอนำเสนอภาพรวมของทั้งสามกลุ่มนี้ในหัวข้อ “มองไปข้างๆ” “เหลียวไปข้างหลัง” และ “แลไปข้างหน้า” ตามลำดับ

มองไปข้างๆ: นานาครอบครัวผู้ต้องขัง

การให้ความช่วยเหลือครอบครัวผู้ต้องขังของเรานั้น เริ่มต้นจากการให้ผู้ต้องขังเองเป็นผู้ระบุอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรว่า ประสงค์จะให้บุคคลใดเป็นผู้มีสิทธิ์ได้รับเงินช่วยเหลือในนามครอบครัวของตน โดยเราไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นครอบครัวทางสายเลือดหรือตามทะเบียนบ้าน เพราะในความเป็นจริงของชีวิต ความหมายของ “ครอบครัว” มีมิติที่มากกว่านั้น  โดยเราได้จัดสรรอัตราเงินช่วยเหลืออยู่ที่เดือนละ 3,000 บาทต่อครอบครัว (หรืออาจแบ่งสิทธิ์ให้ผู้รับสองคนต่อหนึ่งครอบครัวได้ โดยจะเหลือคนละ 1,500 บาท) และได้เริ่มโอนเงินช่วยเหลือครั้งแรกในวันที่ 24 กรกฎาคม 2567 ทั้งนี้ นับถึงสิ้นปี 2567 มีตัวแทนครอบครัวที่ได้รับสิทธินี้แล้วจำนวน 41 คนจาก 40 ครอบครัว รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 654,000 บาท

ล่าสุด ในช่วงสี่เดือนแรกของปี 2568 มีผู้ต้องขังหลังคำพิพากษาเพิ่มขึ้น 8 คน ทำให้มีผู้ได้รับการระบุสิทธิ์ให้แก่ตัวแทนครอบครัวเพิ่มอีก 5 คนจาก 4 ครอบครัว รวมทั้งสิ้นเป็น 46 คนจาก 44 ครอบครัว   สามารถแจกแจงฐานะของผู้เป็นตัวแทนครอบครัวทั้ง 46 คนได้ดังแผนภูมิรูปภาพ ชื่อ “มองไปข้างๆ”

(มีผู้ต้องขังตามคำพิพากษาอีก 10 คนที่ปัจจุบันครอบครัวยังไม่ได้รับความช่วยเหลือจากกองทุนฯ แบ่งเป็นผู้ต้องขังที่อยู่ระหว่างจำคุกในคดีส่วนตัว 3 คน, ผู้ต้องขังที่ยังไม่ประสงค์รับความช่วยเหลือ 1 คน, ผู้ต้องขังที่ไม่มีผู้รับสิทธิ์ในนามครอบครัว 1 คน และผู้ต้องขังที่อยู่ระหว่างจัดสรรความช่วยเหลือแก่ครอบครัว 5 คน) 

ทั้งนี้ มีผู้ต้องขัง 5 คน ซึ่งเคยมอบสิทธิ์รับเงินช่วยเหลือในเรือนจำของตนให้แก่คนในครอบครัวไปตั้งแต่ก่อนที่เราจะเปิดหมวดนี้อย่างเป็นทางการ ครั้นเมื่อมีการเปิดหมวดเงินช่วยเหลือครอบครัวเพิ่มขึ้นมา ปรากฏว่าทั้งสามคนที่ยังคงเป็นผู้ต้องขังอยู่ในปัจจุบันก็ยังระบุสิทธิ์สมทบให้แก่ตัวแทนครอบครัวคนเดิม

นอกเหนือจากเงินช่วยเหลือรายเดือน เรายังมีหมวดเงินช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการเดินทางสำหรับครอบครัวผู้ต้องขัง โดยเรามีโควตาช่วยเหลือสำหรับการเข้าเยี่ยมที่เรือนจำหรือสถานบำบัดสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง ในกรณีที่ผู้ต้องขังมีความเจ็บป่วยทางกายหรือทางจิตเวชซึ่งครอบครัวต้องไปส่งยาหรือเวชภัณฑ์จากแพทย์ผู้รักษาเข้าไปให้ในเรือนจำ หรือต้องเป็นธุระเรื่องการศึกษาเล่าเรียนของผู้ต้องขัง ก็สามารถช่วยเหลือค่าเดินทางในส่วนนี้เพิ่มเติมได้ตามหลักฐาน รวมทั้งมีการช่วยเหลือค่าเดินทางให้แก่ครอบครัวในการไปดำเนินการด้านเอกสารจากมูลนิธิแก่ผู้ต้องขัง หรือฝากเงินระหว่างต้องขัง และรวมจนกระทั่งถึงสุดท้ายปลายทาง คือค่าเดินทางไปรับผู้ต้องขังกลับบ้านในวันที่พ้นโทษ

เหลียวไปข้างหลัง: ชดเชยเวลาที่สูญไป

อดีตผู้ต้องขังที่ได้รับความช่วยเหลือจากเราในปี 2567 คืออดีตจำเลยการเมืองยุคหลังรัฐประหารปี 2557 จำนวน 5 คน แบ่งเป็นกลุ่มจำเลยที่ถูกขังระหว่างพิจารณาคดีจนสุดท้ายคดียกฟ้อง (คดีที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นชายชุดดำ ในเหตุสลายการชุมนุมคนเสื้อแดง 10 เมษา 2553) จำนวน 3 คน และจำเลยที่ถูกขังตามคำพิพากษา จำนวน 2 คน (คดีสหพันธรัฐไท) รวมเวลาต้องขังของจำเลยทั้งสองกลุ่มคือ 21 ปี 6 เดือน โดยเราจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ต้องขังย้อนหลังให้ในอัตราเดือนละ 3,000 บาท  รวมทั้งสิ้นเป็นเงิน 774,000 บาท (นับเฉพาะที่จ่ายเป็นเงินช่วยเหลือผู้ต้องขัง ไม่นับเงินช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการเดินทางต่อสู้คดีตามหลักฐานนัดหมายในช่วงก่อนถูกขัง) ตามแผนภูมิ ชื่อ “เหลียวไปข้างหลัง”

 (อ่านเกี่ยวกับคดีไตรภาคชายชุดดำได้ที่ รายงานกองทุนราษฎรประสงค์ประจำปี 2565 ตอนที่ 7: สุดยอดราคาที่ต้องจ่าย)

แลไปข้างหน้า: ประเมินเวลาที่เหลือ

เราได้ลองคำนวณล่วงหน้าโดยคร่าวจากฐานข้อมูลผู้ต้องขัง 41 คนที่เราให้ความช่วยเหลืออยู่ในตอนนี้ ว่าหากนับถึงวันที่ทุกคนพ้นโทษเต็มตามคำพิพากษา (ถ้าไม่มีการลดโทษ หรือพักโทษ หรือนิรโทษ) จะต้องมีเงินช่วยเหลือรายเดือนรวมกันเป็นจำนวนเท่าใด

จากแผนภูมิสองภาพในชื่อ “แลไปข้างหน้า” จะเห็นว่า ยอดเงินที่จะต้องจ่ายต่อไปในระยะครึ่งศตวรรษข้างหน้า (หากไม่มีการลดโทษ, พักโทษ, นิรโทษ) คือ 31.8 ล้านบาท ซึ่งเป็นจำนวนที่เฉียดฉิวกับยอดเงิน 33 ล้านบาทของเราที่ปัจจุบันอยู่ระหว่าง “ฝากออมไม่มีดอกเบี้ย” อยู่กับศาลในรูปของเงินประกัน (นับเฉพาะผู้ต้องขังตามคำพิพากษา ไม่นับผู้ต้องขังจากการไม่ได้ประกันชั้นพิจารณาคดี เนื่องจากยังไม่ทราบผล จึงไม่สามารถประเมินเวลาที่เหลือของพวกเขาได้)

นอกจากนี้ ถ้าสังเกตให้ดี ท่านจะเห็นว่าเส้นเวลาต้องขังของ 41 คนในอนาคตนี้ เป็นเสมือนการนำเส้นเวลาต้องขังของจำเลย 5 คนในหมวด “เหลียวไปข้างหลัง” มาทบกันไปมา จนดูคล้ายเกมงูกินจุดจนตัวยาวเต็มกรอบสี่เหลี่ยม ช่างบังเอิญที่โทษจำคุกคงเหลือรวม 441 ปีนั้น มีค่าใกล้เคียงกับการเป็นเลขยกกำลังสองของ 21 กว่าปีที่สูญไปของอดีตผู้ต้องขัง 5 คนในยุคหลังรัฐประหารปี 2557 พอดี (21×21=441)

นั่นสะท้อนให้เห็นว่า แม้จะผ่านมาหนึ่งทศวรรษ แต่มวลรวมของเวลาที่ต้องสูญไปก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลยเมื่อเทียบกับยุคหลังรัฐประหาร 2557  ตรงกันข้าม ความสูญเปล่านั้นกลับดูจะเพิ่มพูนอย่างไม่ใช่แค่ทวีคูณ—แต่ยกกำลังสอง! แน่นอนว่าในแง่บริบท ย่อมมีปัจจัยต่างๆ ที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่จำนวนผู้ถูกคุมขัง, ศักยภาพ/ประสิทธิภาพในการต่อสู้คดี, ภาวะผีเข้าผีออกของการบังคับใช้กฎหมายบางมาตรา เช่น ม.112 รวมไปถึงผีปากกาในมือศาล แต่ที่แน่ๆ คือมันสะท้อนต้นทุนของการใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกทางการเมืองของประชาชนในประเทศไทยแลนด์นี้ ที่ยังคงจ่ายซ้ำย่ำอยู่กับที่ ในนามของสิ่งที่อาจเรียกได้ว่า  คือราคาประกันของวันเวลาแห่งราชทัณฑ์

อ่านตอนที่แล้ว